ประสิทธิผลของเทคนิคการให้คำปรึกษาเสริมสร้างแรงจูงใจเฉพาะรายต่อการควบคุม
ระดับน้ำตาลในเลือดของผู้ป่วยเบาหวานชนิดที่ 2 ที่มีภาวะไตเรื้อรังระยะ 3
ที่เข้ารับการรักษาที่คลินิกชะลอไตเสื่อมโรงพยาบาลเสนางคนิคม
การวิจัยครั้งเป็นการวิจัยกึ่งทดลอง เพื่อพัฒนาและศึกษาประสิทธิผลของเทคนิคการให้คำปรึกษาเสริมสร้างแรงจูงใจเฉพาะราย
ต่อการควบคุมระดับน้ำตาลในเลือดของผู้ป่วยเบาหวานชนิดที่ 2 ที่มีภาวะไตเรื้อรังระยะ 3 กลุ่มตัวอย่างคือ ผู้ป่วยที่ได้รับการวินิจฉัยจากแพทย์ว่า เป็นผู้ป่วยเบาหวานชนิดที่ 2 ร่วมกับมีภาวะไตเรื้อรังระยะ 3 ที่มีผลระดับน้ำตาลในเลือด
FPG มากกว่า 150 มิลลิกรัมเดซิลิตร และได้รับการรักษาโดยวิธีการกินยา ที่คลินิกชะลอไตเสื่อม ในเดือนกรกฎาคม พ.ศ. 2560 โรงพยาบาลเสนางคนิคม อำเภอเสนางคนิคม จังหวัดอำนาจเจริญ จำนวน 17 ราย ได้รับคำปรึกษาแบบเสริมสร้างแรงจูงใจเฉพาะรายบุคคล นาน 5-10 นาที
อย่างต่อเนื่อง จำนวน 4 ครั้งใน 6 เดือน มีการเก็บข้อมูลด้วยแบบบันทึกการสัมภาษณ์ ตามแนวทางปฏิบัติการให้คำแนะนำเพื่อเสริมสร้างแรงจูงใจในผู้ป่วยโรคไม่ติดต่อเรื้อรัง
( Motivation Interviewingin NCDS) โดยการสนทนาให้คำปรึกษาแบบสั้น ( MI for NCD )
(อ้างในการวิจัยในโครงการพัฒนาระบบการให้คำปรึกษาแบบสร้างแรงจูงใจ ,เทิดศักดิ์ เดชคง , 2560)
วิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้สถิติเชิงพรรณา ได้แก่
ความถี่ ร้อยละ ค่าเฉลี่ย และส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน
และสถิติเชิงอนุมาน ได้แก่ Paired-Simple t-test ผลการวิจัยพบว่า กลุ่มตัวอย่างส่วนใหญ่เป็นเพศหญิง ร้อยละ 70.59
ส่วนใหญ่อยู่ในช่วงอายุระหว่าง 60-69 ปี ร้อยละ 58.83 อายุที่น้อยที่สุด 59
ปี อายุมากที่สุด 77 ปี อายุเฉลี่ย 67.71 ปี ทั้งหมดนับถือศาสนาพุทธ ระดับการศึกษา
ส่วนใหญ่จบประถมศึกษา ร้อยละ 70.59
ส่วนใหญ่ประกอบอาชีพเกษตรกรรม ร้อยละ 47.06 มีรายได้ต่อเดือนต่ำกว่า 5,000 บาท ร้อยละ 70.59 และรายได้ส่วนใหญ่พอเพียงกับการดำรงชีวิตไม่มีเหลือเก็บ ส่วนใหญ่ใช้สิทธิ์การรักษาบัตรประกันสุขภาพถ้วนหน้า(สูงอายุ)
ร้อยละ 64.71 ระยะเวลาในการเป็นโรคเบาหวานมากที่สุดอยู่ในช่วง 11-15 ปี สูงสุดนาน 16 ปี ต่ำสุด 3 ปี เฉลี่ย 11.82 ปี จากการสัมภาษณ์เชิงลึกพบว่าผู้ป่วยส่วนใหญ่ให้ความสำคัญกับการควบคุมระดับน้ำตาลในเลือดโดยการควบคุมอาหาร ร้อยละ
70.59 ผู้ป่วยที่ได้รับการให้คำปรึกษาเสริมสร้างแรงจูงใจเฉพาะราย
มีค่าเฉลี่ยของระดับน้ำตาลในเลือด FPG ต่ำกว่าก่อนให้คำปรึกษาอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ ระดับ 0.05(P<0.05) พบว่าผู้ป่วยสามารถควบคุมระดับน้ำตาลในเลือด
FPG ต่ำกว่า 130
มิลลิกรัมเดซิลิตร ในวันที่มาบริการครั้งที่
2 ร้อยละ 82.35 ครั้งที่ 3 ร้อยละ 88.23
ดังนั้นควรนำเทคนิคการให้คำปรึกษาแบบเสริมสร้างแรงจูงใจเฉพาะรายบุคคล
ไปใช้ส่งเสริมพฤติกรรมควบคุมระดับน้ำตาลในเลือดในผู้ป่วยเบาหวานชนิดที่ 2
0 ความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น